นักวิชาการแนะ ศธ.ยกเครื่องหนังสือเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งระบบ

นักวิชาการแนะ ศธ.ยกเครื่องหนังสือเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งระบบ

จากกรณีที่นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดทำหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย ชุดภาษาเพื่อชีวิต ภาษาพาที ชั้น ป.1-6 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายหลังสังคมวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย ภาษาพาที ระดับชั้น ป.5 ซึ่งมีเนื้อหาว่า กินไข่ต้มครึ่งซีก เหยาะน้ำปลา หรือข้าวเปล่าคลุกน้ำผัดผักบุ้ง ทำให้ตัวละครในหนังสือมีความสุข ถือเป็นการพอเพียง เห็นคุณค่าของชีวิต ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงโภชนาการของเด็ก ว่า ศธ.มุ่งเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะทางภาษาจากการอ่าน เขียน ฟัง ดู พูดเรื่องที่น่าสนใจ ผสานความเข้าใจลักษณะของภาษาไทย รับรู้ความงามในความงามของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา กระบวนการคิด และการบูรณาการ เพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง

โดยนำเสนอเนื้อหาบทอ่านในภาพรวมของหนังสือโดยใช้รูปแบบของวรรณกรรม มีเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านบทสนทนา ความคิดเห็น ความรู้สึก และอารมณ์ของตัวละคร เชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ในเรื่องหลักการใช้ภาษา โดยมีภาพประกอบเนื้อเรื่อง ตามหลักการจัดทำหนังสือเรียนสำหรับนักเรียนประถม โดยผู้โพสต์วิเคราะห์เนื้อหาเพียงบางส่วน อาจทำให้เข้าใจสาระสำคัญของเรื่องไม่ถูกต้อง และเป็นการใช้ตรรกวิบัติ ที่นำเรื่องในชีวิตประจำวันมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่แต่งขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจเกิดความเข้าใจผิด และสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของหนังสือเรียนนั้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า มองว่าแบบเรียนนี้ ควรจะนำเสนอให้เห็นว่าเด็กได้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตความเป็นเด็ก ได้อยู่ในท้องนา ได้เล่นตามประสาเด็ก มีความสุขมากกว่าจะเล่นมือถือ ไม่ควรจะชูประเด็นให้เด็กกินข้าวคลุกไข่ และน้ำปลา ทั้งนี้ เห็นว่าแบบเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ควรจะยกเครื่องใหม่ทั้งหมด โดย ศธ.ไม่ควรจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาจัดทำเพียงกลุ่มเดียว แต่ควรจะเชิญคน 3 กลุ่ม คือ อาจารย์ผู้สอน นักวิชาการด้านการศึกษา หรือนักจิตวิทยาเด็ก และผู้ปกครอง มาร่วมออกแบบร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาพบว่าแบบเรียนในบางเรื่อง ทำให้ผู้ปกครองอึดอัด เช่น บางแบบเรียนสอนให้เด็กตื่นเช้าแปรงฟัน โดยมีภาพเด็กแปรงฟันหน้าอ่างล้างหน้าที่มีกระจกติดอยู่ แต่กลับกันเด็กต่างจังหวัดส่วนใหญ่อาจไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นต้น

นักวิชาการแนะ ศธ.ยกเครื่องหนังสือเรียนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งระบบ

“แต่การยกเครื่องแบบเรียนใหม่ จะเจอปัญหาหลายอย่าง เพราะอาจถูกคัดค้านจากโรงพิมพ์ที่พิมพ์แบบเรียนรอไว้แล้ว อีกทั้ง โรงพิมพ์บางแห่งแบ่งเปอร์เซนต์ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ซื้อหนังสือด้วย แล้วคุณภาพการศึกษาเมื่อไหร่จะทันประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหานี้ผู้ใหญ่ใน ศธ.รับทราบ แต่ไม่กล้าเปลี่ยน เพราะกลัวเสียคะแนนเสียง ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต้องกล้าที่จะทุบโต๊ะ ไม่สนใจคะแนนเสียง และรื้อจัดทำใหม่ทั้งหมด เพื่อให้การศึกษามีรากฐานที่แข็งแรง” รศ.ดร.เอกชัย กล่าว

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แบบเรียนเล่มนี้ถูกผลิตโดย ศธ.ซึ่งเดิมถูกกำหนดว่าทุกโรงเรียนจะต้องใช้แบบเรียนดังกล่าวสอนเด็ก แต่ปัจจุบันเปิดให้โรงเรียนเลือกแบบเรียนของเอกชนมาสอนเด็กได้ ดังนั้น ขณะนี้แบบเรียนภาษาพาที ไม่ได้เป็นแบบเรียนที่บังคับให้เด็กทั้งประเทศอ่าน ตามที่สอบถามครู กลุ่มครูสะท้อนว่าไม่ได้ใช้แบบเรียนภาษาพาทีสอนเด็กแล้ว เพราะครูมองว่าเรื่องที่แต่งมาให้เด็กอ่านนั้น เชย ไม่สมเหตุสมผล และมีบางเนื้อหาที่ครูไม่สามารถอธิบายให้เด็กเข้าใจได้

ผศ.อรรถพลกล่าวต่อว่า เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถามในหนังสือเล่มนี้ เมื่อหนังสือเรียนนี้เป็นของรัฐ จึงควรถูกตั้งคำถามว่าขณะนี้รัฐต้องการจะกล่อมเกลาค่านิยมอะไรผ่านแบบเรียนนี้ ศธ.ควรจะยอมรับว่าแบบเรียนของตนทำหน้าที่ผิดบทบาท ไม่ใช่แค่กล่อมเกลาภาษา แต่กลายเป็นสอนคุณค่าบางอย่าง ซึ่งแบบเรียนนี้เป็นการย้อนแย้งกันเอง เพราะในขณะที่แบบเรียนสุขศึกษา สอนให้เด็กกินอาหารครบ 5 หมู่ แต่แบบเรียนภาษาไทยกลับสอนให้เด็กกินข้าวคลุกไข่ และน้ำปลา

“ศธ.ไม่ควรปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ และต้องยอมรับว่าแบบเรียนนี้ทำหน้าที่ผิดไปจากการสอนภาษา แต่กำลังกล่อมเกลาค่านิยมบางอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ และเป็นนามธรรมมากๆ เช่น ความสุขของชีวิต แต่ผมมองว่าควรจะปลูกฝังชุดคุณค่าอื่นให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก เช่น การเห็นคุณค่าในตัวเอง การรู้จักเคารพคนอื่น เป็นต้น และต้องกลับมาถามว่าชุดความคิดนี้ เป็นสิ่งที่สังคมโอเคหรือไม่ หรือเป็นค่านิยมที่รัฐต้องการจะกล่อมเกลา” ผศ.อรรถพล กล่าว

ผศ.อรรถพลกล่าวต่อว่า มองว่าขณะนี้คนใน ศธ.อยู่ในบับเบิ้ล ที่ไม่อิงกับโรงเรียน และสังคมจริงๆ เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า ศธ.มีนโยบายที่ผิดฝาผิดตัวอยู่หลายเรื่อง เช่น การสอนประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่เรียนเพื่อชวนให้เด็กตั้งคำถาม แต่กลับปลูกฝังการรักชาติแบบผิดๆ ซึ่งในหลายประเทศ กระบวนการผลิตสื่อจะมีการใช้ครูเข้ามาร่วมผลิตแบบเรียนให้นักเรียนด้วย เพราะครูรู้ว่าเด็กมีคลังคำศัพท์มากน้อยแค่ไหน เด็กจะเข้าใจคำสอนมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่จ้างคนนอกเขียน และให้แต่งเนื้อหาตามโจทย์ที่รัฐให้ แล้วมาบังคับให้โรงเรียนใช้ ซึ่งตนไม่มั่นใจว่ากระบวนการผลิตแบบเรียนของไทย มีครูเข้ามามีส่วนร่วมหรือไม่

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ petalrollerdome.com

แทงบอล

Releated